พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.แถลงผลปฏิบัติ 4 คดีสำคัญ

พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.แถลงผลปฏิบัติ 4 คดีสำคัญ

 

พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.แถลงผลปฏิบัติ 4 คดีสำคัญ

เมื่อเวลา 13:30 น.วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2567 ณ ห้องสวนพลู (ห้องแถลงข่าว) ชั้น 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.มอบหมายให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญ ตามนโยบายของ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวท่ีเข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมท้ังให้ดําเนินการ ตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติท่ีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะท่ีพํานักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทําผิด กฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทําให้เกิดความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการ กระทําความผิด
และในวันนี้มีผลการปฏิบัติ โดยจับกุมผู้กระทำผิดกฏหมาย ถึง 4 คดี โดยมี
[ คดีที่ 1 ] รวบมังกรซ่อนกาย พบประวัติคดีแชร์ลูกโซ่มูลค่าความเสียหายกว่า 150 ล้านบาท ข้ามชายแดนผิดกฎหมาย

กก.4 บก.สส.สตม.ได้สืบสวนทราบว่ามีหญิงชาวจีนลักลอบเข้ามาในประเทศไทยและไปพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียมย่าน ถ.พัทยาสาย 2 อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้นํากําลังไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงจึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ ตํารวจตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง โดยหญิงรายดังกล่าวแจ้งว่าตนเองชื่อ MS.HU (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สัญชาติจีน หนังสือเดินทางสูญหาย จึงได้เชิญตัวหญิงรายดังกล่าวไปที่ ตม.จว.ชลบุรี เพื่อทําการตรวจสอบลายนิ้วมือในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (BIOMETRICS) ผลการตรวจสอบไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจประจําสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจําประเทศไทย รับแจ้งว่า MS.HU เป็นบุคคลที่มีประวัติกระทําความผิด ในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” ในลักษณะ แชร์ลูกโซ่ โดยมีการอ้างกับประชาชนว่าจะมีการระดมทุนเพื่อเข้าไปซื้อหุ้นของแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ bixin (ปี๋ซิน) มีผู้เสียหายหลายรายที่หลงเชื่อเข้าไปลงทุนซื้อหุ้น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 150 ล้านบาท
จากการสอบถาม MS.HU ให้การรับว่าได้ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ บริเวณสามเหลี่ยมทองคํา เขตติดต่อ จว.เชียงราย จึงได้จับกุมตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ดําเนินคดีในข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและ อยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเมื่อคดีสิ้นสุดจะได้ผลักดันส่งกลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป
[ คดีที่ 2 ] รวบ 2 หนุ่มโสมไกด์เถื่อน พบประวัติคดีแชร์รถหรู ความเสียหายกว่า 109 ล้านบาท

กก.4 บก.สส.สตม.ได้จับกุม MR.HAN (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ และ MR.KIM (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นําตัวส่งพนักงาน สอบสวน สภ.ช้างเผือก จว.เชียงใหม่ ดําเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมริมถนน 1366 ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่
สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สส.สตม. สืบสวนทราบว่ามีบริษัทนําเที่ยวหลายบริษัท เปิดรับสมัครไกด์นําเที่ยวต่างด้าวที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นจํานวนมาก โดยจะรับสมัครบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศทําหน้าที่เป็นไกด์ ดูแลลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เพื่อยากต่อการตรวจสอบและจับกุม ต่อมาจากการสืบสวนพบว่ามีบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ 2 ราย ทําหน้าที่เป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่เข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ทําการพิสูจน์ทราบ ชายชาวเกาหลีใต้ดังกล่าว พบว่าคือ MR.HAN และ MR.KIM ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยได้สิ้นสุดแล้ว จึงได้สืบสวน ตามหาตัวจนกระทั่งได้พบ MR.HAN และ MR.KIM ขณะเดินอยู่ริมถนน 1366 ต.ช้างเผือก อ.เมือง เชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ จึงได้ทําการจับกุมดําเนินคดีในข้อหาดังกล่าว
จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าจะ รับนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่จะเข้ามาเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรายได้ต่อครั้งในการรับงานขั้นต่ําคือ 10,000 – 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับจํานวนวันและจํานวนนักท่องเที่ยวที่ต้องดูแล โดยจะมีการโพสต์บนโซเชียลในการเป็นไกด์ส่วนบุคคล รวมทั้งมีการรับงานผ่านเอเย่นต์ที่เป็นตัวแทนของบริษัทท่องเที่ยว โดยทํามาแล้วประมาณ 2 เดือน ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุมอยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่มีบริษัทรับคนต่างด้าว เข้าทํางานโดยไม่ได้รับอนุญาต เบื้องต้นพบว่าเป็นบริษัทที่มีบุคคลต่างชาติเป็นผู้ร่วมถือหุ้นกับคนไทยในการประกอบ กิจการนําเที่ยว
อนึ่ง จากการประสานงานตรวจสอบประวัติของ MR.HAN และ MR.KIM กับเจ้าหน้าที่ตํารวจสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ประจําประเทศไทย และฝ่ายประสานงานการตํารวจไทย-เกาหลีใต้ กองการต่างประเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พบประวัติ MR.HAN และ MR.KIM เป็นผู้กระทําผิดในคดีแชร์รถหรู มีผู้เสียหายกว่า 60 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 109 ล้านบาท ดำเนินคดีในขั้นต่อไป
[ คดีที่ 3 ] รวบหม่องตัวการช่วยพ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยง

กก.1 บก.สส.สตม.จับกุมนายเอ (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา ตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.523/2567 ลง 3 เม.ย.67 กระทําความผิดฐาน ร่วมกันข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ร่วมกันพาบุคคลอื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยใช้อํานาจครอบงําผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทํา ด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทํา ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้น หรือจํายอมต่อสิ่งนั้นนําตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี ดําเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับหน้าโรงงานในพื้นที่ ต.บางน้ำจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร
พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2567 เวลาประมาณ 16.00 น. ขณะผู้เสียหายกําลังวีดีโอคอลคุยกับ เพื่อนและทําอาหารรอสามีกลับมาในห้องเกิดเหตุในพื้นที่แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ได้มีนายจ่อ ผู้ต้องหาที่ 1 (ถูกจับกุมแล้ว) ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของผู้เสียหาย นายลินผู้ต้องหาที่ 3 (หลบหนี) และนายตอผู้ต้องหาที่ 4 (หลบหนี) ได้พังประตูบุกรุกเข้าไปในห้องเกิดเหตุ และได้บังคับขู่เข็ญและฉุดลากเอาผู้เสียหายไปขึ้นรถยนต์ โดยผู้ต้องหาที่ 1 กับ ผู้ต้องหาที่ 3 ได้ไปด้วยกัน ส่วนผู้ต้องหาที่ 4 ได้รื้อค้นทรัพย์สินของผู้เสียหายอยู่ที่ห้องที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 3 ได้นําผู้เสียหายไปไว้ที่ห้องพักหมายเลข 12 ถ.เอกชัย – กรุงเทพฯ อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร จากนั้นนายเอมิน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 2 ที่รออยู่ที่ห้องพักหมายเลข 11 ได้ออกมาล็อคห้องหมายเลข 12 และช่วยกันขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมตะโกนออกมาจากหน้าห้องว่าหากมีใครมาช่วยจะฆ่าให้ตาย โดยเอามีดมาจี้บังคับผู้เสียหายตลอด ผู้เสียหายจึงจํายอมอยู่ในห้องกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยมีนายเอมิน และผู้ต้องหาที่ 3 คอยช่วยเหลือและดู ต้นทางไม่ให้ใครมาช่วยเหลือ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ข่มขืนกระทําชําเราผู้เสียหายจนสําเร็จความใคร่ เมื่อผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือกลับออกมา จึงได้แจ้งความดําเนินคดีกับคนร้ายทั้ง 4 คน
ต่อมาศาลอาญามีนบุรี ได้ออกหมายจับนายเอมินในฐานความผิดดังกล่าว กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้สืบสวนติดตามหาตัวนายเอมินจนกระทั่ง ทราบว่านายเอมินได้หลบหนีคดีไปพักอาศัยอยู่ในในพื้นที่ ต.บางน้ำจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร จึงได้ไปติดตามจับกุมนําตัวส่งพนักงานสอบสวนดําเนินคดีต่อไป
[ คดีที่ 4 ] บุกรวบหัวหน้าแก๊งโจรกรรมแดนปลาดิบ OVERSTAY พบประวัติก่อคดีลักทรัพย์ 111 คดี


บก.สส.สตม.ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายลับโดยสงสัยว่านายมิโยชิ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สัญชาติญี่ปุ่น จะอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงเข้าตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า การอนุญาต ให้อยู่ในประเทศไทยของนายมิโยชิได้สิ้นสุดแล้ว (OVERSTAY) พร้อมทั้งได้ประสานงานไปยังสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย เพื่อขอตรวจสอบประวัติของนายมิโยชิ รับแจ้งว่า นายมิโยชิได้กระทําความผิดในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปี พ.ศ.2566 ในคดีโจรกรรมและบุกรุกในพื้นที่ 5 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น รวม 111 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 13,000,000 เยน (ประมาณ 3 ล้านบาท) โดยมีพฤติการณ์เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรกรรมและเป็นหัวหน้า แก๊งมอเตอร์ไซด์นางาโทโมะ พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม.เกรงว่านายมิโยชิ จะก่อคดีโจรกรรม ในประเทศไทย จึงให้ กก.1 บก.สส.สตม. เร่งสืบสวนติดตามหาตัวนายมิโยชิ จากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. พบข้อมูลว่านายมิโยชิ เข้าพักอาศัยในโรงแรมหรูในเขตวัฒนา เขตคลองเตย กรุงเทพฯ และมีข้อมูลว่านายมิโยชิ จะลักลอบเดินทางออกไปยังประเทศกัมพูชาทางชายแดนด้าน จว.สระแก้ว จึงได้นํากําลังไปสกัดกั้นตามแนวชายแดนไม่ให้ นายมิโยชิหลบหนีออกไปได้ จนนายมิโยชิต้องกลับมาหลบซ่อนตัวในกรุงเทพฯ ซึ่งพบโรงแรมแห่งหนึ่งใน เขตวัฒนา ได้แจ้งชื่อนายมิโยชิเข้าพัก จึงไปตรวจสอบพบว่านายมิโยชิ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. โดยใช้ชื่อของตนเองเช็คอิน แต่ให้เพื่อนเข้าพักแทน จากการ สืบสวนพบว่า นายมิโยชิ ได้หลบไปพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียมในแขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ จึงนํากําลังไปจับกุมนําตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดําเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และจะได้ดําเนินการส่ง นายมิโยชิกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นต่อไป
# สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทําความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทําความผิด กรุณาแจ้งมายัง สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ขอขอบคุณผู้สนับสนุน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า