พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.แถลงผลจับกุมชาวต่างชาติ 3 คดี
เมื่อเวลา 10:30 น.วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 ณ ห้องสวนพลู (ห้องแถลงข่าว) ชั้น 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.มอบหมายให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภานุภาคณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธนิสร แสงท่านั่ง ผกก.ตม.จว.สตูล ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญใน 3 คดีดังนี้
[ 1 ] รวบแก๊งต่างชาติหลอกทำวีซ่าเชงเก้นปลอม
บก.สส.สตม. เพิกถอนวีซ่าและจับกุมแก๊งต่างชาติ ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกชาวต่างชาติทำวีซ่าเชงเก้นปลอม และเป็นนายหน้ารับทำวีซ่า ส่ง กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร มีจำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายอัมหมาด (นามสมมติ) อายุ 31 ปี สัญชาติปากีสถาน
2. นายมูฮัมหมัด (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติปากีสถาน
3. นายชาคีน (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติปากีสถาน
4. นายอิฟาน (นามสมมติ) อายุ 28 ปี สัญชาติปากีสถาน
พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ กก.1 บก.สส.สตม.สืบสวนทราบว่ามีกลุ่มชาวปากีสถานรับทำวีซ่าเชงเก้นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการจะเดินทางไปประเทศกลุ่มเชงเก้น ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าวีซ่าเชงเก้นที่กลุ่มชาวปากีสถานรับทำเป็นวีซ่าปลอม จึงให้นายโรหิต (สายลับ) ชาวอินเดียติดต่อกับกลุ่มดังกล่าวเพื่อขอทำวีซ่า โดยนายโรหิตได้ติดต่อกับนายอัมหมาด หนึ่งในสมาชิกกลุ่มชาวปากีสถาน ซึ่งนายอัมหมาดได้ให้นายโรหิตมอบหนังสือเดินทางให้กับตนพร้อมทั้งลงชื่อในแบบฟอร์มการขอวีซ่าเชงเก้น และแจ้งให้นายโรหิตเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการเป็นเงิน 7,000 ยูโร (ประมาณ 267,000 บาท) โดยตกลงว่าเมื่อนายโรหิตจ่ายเงินครบแล้ว นายอัมหมาดจะนำหนังสือเดินทางพร้อมวีซ่าเชงเก้นมาให้นายโรหิต ต่อมานายอัมหมาดได้ส่งภาพถ่ายแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นที่อ้างว่าไปดำเนินการเรียบร้อยแล้วมาให้ นายโรหิต และให้นายโรหิตถ่ายภาพเงิน 7,000 ยูโร สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งไปให้นายอัมหมาดตรวจสอบเพื่อจะนัดวันรับหนังสือเดินทางและวีซ่า จากนั้นนายโรหิตจึงได้ส่งภาพแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นที่ได้รับจากนายอัมหมาดมาให้เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. เพื่อตรวจสอบ และกก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ส่งภาพถ่ายแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นไปให้สถานเอกอัครราชทูตอิตาลี ประจำประเทศไทย ตรวจสอบพบว่าเป็นของปลอม จึงวางแผนให้นายโรหิตนัดหมาย นายอัมหมาดมาส่งมอบหนังสือเดินทางและวีซ่าเชงเก้นที่ร้านสะดวกซื้อในย่าน ถ.ลาดกระบัง แขวง/เขต ลาดกระบัง กรุงเทพฯ เมื่อถึงเวลานัดหมายนายอัมหมาด ได้เข้ามาพบนายโรหิตภายในร้านสะดวกซื้อ แจ้งว่าจะมารับนายโรหิตไปรับหนังสือเดินทางที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยมีนายมูฮัมหมัด และนายชาคีนนั่งอยู่ในรถแท็กซี่รอรับนายโรหิตหน้าร้านสะดวกซื้อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม.จึงแสดงตัวเพื่อตรวจสอบเอกสารประจำตัวของนายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด และนายชาคีน และเดินทางไปตรวจสอบที่พักของ นายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด และนายชาคีน ที่อพาร์ทเม้นท์ ย่าน ซ.ลาดพร้าว 148 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ พบ นายอิฟาน พักอาศัยภายในห้องดังกล่าว และตรวจพบหนังสือเดินทางของนายโรหิต ซึ่งไม่พบแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นภายในเล่มหนังสือเดินทางแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังพบหนังสือเดินทางประเทศอินเดีย จำนวน 2 เล่ม, แบบฟอร์มคำขอวีซ่าลาวพร้อมเอกสารของคนต่างด้าวที่จะขอวีซ่า จำนวน 16 ชุด จึงได้ตรวจยึดเอกสารดังกล่าวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.
จากการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ พบว่า นายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด, นายชาคีน และนายอิฟาน ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำงานโดยเป็นนายหน้ารับทำวีซ่าเซงเก้น อีกทั้งยังมีการส่งข้อความชักชวนชาวต่างชาติรายอื่นๆ ทำวีซ่าเซงเก้นอีกจำนวนมาก ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่สามารถทำวีซ่าได้จริง เป็นการหลอกลวงชาวต่างชาติทำวีซ่าเชงเก้นปลอม และจากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด, นายชาคีน และนายอิฟาน ยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรบุคคลทั้ง 4 รายดังกล่าว เนื่องจากพิจารณาเห็นว่ามีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรต่อไป
[ 2 ] จับชายแดนมักกะโรนี overstay หนีคดีปล้นทรัพย์คนพิการซุกไทย
บก.สส.สตม. จับกุมนายเอดิ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี สัญชาติอิตาลี โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย
สืบเนื่องจากทาง สตช.ได้สั่งการให้ สตม.พิจารณาดำเนินการ กรณีสำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลโรม มีหนังสือขอความร่วมมือมายังกองการต่างประเทศ เพื่อให้สืบสวนติดตามจับกุมนายเอดิ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี สัญชาติอีตาลี ผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการอิตาลี ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นบุคคลตามประกาศตำรวจสากลสีแดง และได้หลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย เพื่อส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐอิตาลี พฤติการณ์กระทำผิด คือ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53 ในสาธารณรัฐอิตาลี นายเอดิได้ร่วมกับพวกปล้นคู่สามีภรรยาสูงอายุซึ่งเป็นชายตาบอดและหญิงพิการ โดยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย ข่มขู่และใช้ความรุนแรงกับผู้เสียหาย จากนั้นได้ขโมยเอาเงินสด จำนวน 28,000 ยูโร (ประมาณ 1,077,000 บาท) และเพชรพลอยสร้อยข้อมือ นาฬิกา และคลิปหนีบเนคไท พร้อมสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ของผู้เสียหายทั้ง 2 คนไป บก.สส.สตม. จึงมอบหมายให้ กก.1 บก.สส.สตม. ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม.พบว่า นายเอดิ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.30 และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปด้วยเหตุผล ใช้ชีวิตบั้นปลาย ถึงวันที่ 30 ม.ค.66 ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว จึงสืบสวนติดตามหาตัวนายเอดิ จนกระทั่งทราบว่านายเอดิ ได้ไปพักอาศัยในคอนโดมิเนียมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับ ตม.จว.ชลบุรี บก.ตม.3 ไปตรวจสอบ พบนายเอดิ จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และจับกุมส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
[ 3 ] รวบหนุ่มรัสเซีย หนึ่งในสมาชิก “ธุรกรรมทางการเงินเถื่อน” รับฝาก โอน ถอน เก็บเงินผิดกฎหมายทุกชนิด ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าเงินผิดกฎหมายหมุนเวียน 1,643 ล้านบาท
บก.ตม.6 จับกุมนายนาโกโร (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน จว.สตูล ดำเนินคดีตามกฎหมาย
เมื่อ 21 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้รับแจ้งจากประชาชน พบบุคคลต่างชาติท่าทางมีพิรุธบริเวณตลาดชายแดน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จว.สตูล เจ้าหน้าที่สืบสวนซึ่งกำลังตั้งด่านตรวจรถยนต์ที่กำลังจะออกนอกประเทศไปยังมาเลเซีย จึงได้นำกำลังไปตรวจพบบุคคลต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้ง เมื่อพบนายนาโกโร จึงขอตรวจหนังสือเดินทางพบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดของนายนาโกโรสิ้นสุดลงแล้ว จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และจับกุมส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน จว.สตูล ดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม.พบว่า นายนาโกโร ยังเป็นบุคคลตามหมายจับตำรวจสากล (Red Notice) พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ เมื่อประมาณเดือน ต.ค.61 ถึง ก.ค.63 ที่เมืองมอสโกและเมืองบรานค์ สาธารณรัฐรัสเซีย นายนาโกโร สมาชิกกลุ่มอาชญากรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย ได้รับดำเนินธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยรับ ฝาก ถอน โอน และเก็บรักษาเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้บริการกับบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรที่ได้เงินมาโดยผิดกฎหมายและไม่ต้องการแสดงตนในการทำธุรกรรม โดยได้รับค่าบริการในอัตรา 10% ของยอดเงินที่ใช้บริการ ซึ่งนายนาโกโรรับหน้าที่เป็นผู้หาลูกค้ามาใช้บริการดังกล่าว มูลค่าเงินหมุนเวียนผิดกฎหมาย จำนวน 1,643 ล้านบาท ผลกำไรประมาณ 164 ล้านบาท
สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th
จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณผู้สนับสนุน