สืบสวน ตม.1 บุกรวบหนุ่มแขกขาวหนีเข้าเมืองซุกคอนโดกลางกรุงย่านสุขุมวิท

สืบสวน ตม.1 บุกรวบหนุ่มแขกขาวหนีเข้าเมืองซุกคอนโดกลางกรุงย่านสุขุมวิท

สืบสวน ตม.1 บุกรวบหนุ่มแขกขาวหนีเข้าเมืองซุกคอนโดกลางกรุงย่านสุขุมวิท
ขยายผลจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งพบโอเวอร์สเตย์ 7 ปีกว่า ปูมหลังพัวพันอาชญากรรมเพียบ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับทราบข้อมูลจากสายลับไม่ประสงค์ออกนาม ว่ามีชายต่างชาติลักษณะเป็นชาว
ตะวันออกกลาง ผิวขาว รูปร่างผอมสูง เข้ามาพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมมีชื่อแห่งหนึ่ง ในย่านนานา กรุงเทพมหานคร โดยมีพฤติการณ์
หลบซ่อนและระมัดระวังตัวเป็นที่น่าสงสัย เชื่อว่าน่าจะได้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือกระทำการอื่นใด
ที่ขัดต่อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปตรวจสอบยังคอนโดมิเนียมดังกล่าว และกระจายกำลังดักซุ่มรอ จนกระทั่ง
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมพบชายชาวต่างชาติ มีตำหนิรูปพรรณตรงตามที่สายลับให้ข้อมูลไว้ ปรากฎตัวชั้นล่างของอาคาร จึงได้เข้าแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวหรือหนังสือเดินทาง ในขณะดังกล่าวนั้น ผู้ถูกจับไม่สามารถนำหนังสือเดินทางหรือเอกสารอื่นใดมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ โดยอ้างว่าได้ทำหายไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญตัวมาตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลผ่านระบบไบโอเมตริกซ์ จึงพบว่าชายคนดังกล่าวคือนาย MUHAMMAD อายุ 28 ปี สัญชาติซีเรียไม่ปรากฎข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองแต่อย่างใด โดยข้อมูลย้อนหลังไปเป็นเวลากว่า 2 ปี พบว่า นาย MUHAMMAD มีพฤติการณ์ เป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อการอนาจาร เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 25 เม.ย.62 ฐานเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ในส่วนของผลการสืบสวนขยายผลจากคำให้การของนาย MUHAMMAD ถึงขั้นตอนลักลอบกลับมาในประเทศไทยในครั้งนี้
ได้ข้อมูลว่า ระหว่างที่นาย MUHAMMAD อยู่ในขั้นตอนรอการดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง เมื่อปี 62 นั้น ภรรยาโดยชอบ
ด้วยกฎหมายของนาย MUHAMMAD ซึ่งเป็นพลเมืองอุซเบกิสถาน ได้ยื่นคำร้องต่อสถานทูตอุซเบกิสถาน เพื่อให้ดำเนินการรับ
นาย MUHAMMAD กลับไปยังประเทศอุซเบกิสถานแทนประเทศซีเรีย เนื่องจากประเทศซีเรียอยู่ในภาวะสงคราม หลังจากที่นาย MUHAMMAD ถูกส่งตัวกลับไปที่ประเทศอุซเบกิสถานแล้วไม่นาน นาย MUHAMMAD ได้เลิกรากับภรรยาคนดังกล่าว และซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางมาที่ประเทศกัมพูชา จากนั้นได้ทิ้งหนังสือเดินทาง แล้วอาศัยช่องทางธรรมชาติลักลอบหลบหนีมาในประเทศไทยอีกครั้ง โดยในครั้งนั้นนาย MUHAMMAD อ้างว่าได้เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินประมาณ 100,000 บาท ให้กับนายหน้าคนกลางที่ประเทศกัมพูชาในการพาเข้ามาในประเทศไทย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พยายามสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ถึงบุคคลที่น่าจะเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในการพำนักอยู่ในประเทศไทยของนาย MUHAMMAD จนได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่านาย MUHAMMAD มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งคอยให้การช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม
จึงรวบรวมตำหนิรูปพรรณ และข้อมูลที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติกลุ่มนี้เพื่อเตรียมการขยายผลจับกุม ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นาย MUHAMMAD ทราบว่า “เป็นบุคคลต่างด้าว เดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินีดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเดียวกันนี้จึงได้ไปดักเฝ้ารอกลุ่มเป้าหมายตามคำบอกเล่าของนาย MUHAMMAD ที่คอนโดมิเนียม
อีกแห่งหนึ่งในละแวกเดียวกัน จนพบชายหญิงชาวต่างชาติ 2 ราย มีตำหนิรูปพรรณตรงตามคำให้การของนาย MUHAMMAD กำลังขับขี่จักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันออกจากคอนโดมิเนียมที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้นำกำลังไปวางรอไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง ผลการตรวจสอบพบว่าชาวต่างชาติทั้งสองคือ นาย SAEED อายุ 32 ปี สัญชาติซีเรีย และนางสาว HOUDA อายุ 23 ปี สัญชาติโมร็อคโค โดย นาย SAEED พบอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (2,612 วัน) และมีประวัติก่อคดีชิงทรัพย์อยู่ในระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวภายใต้คำสั่งศาลอาญากรุงเทพใต้ ส่วนนางสาว HOUDA พบอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดเช่นกัน (750 วัน) ในเบื้องต้นทั้งสองอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย MUHAMMAD เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทั้งผู้ต้องหาทั้งสองทราบว่า “เป็นบุคคล
ต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชน
ท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ
เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า