กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 จับแก๊งค์หลอกซื้อของให้ส่งผ่านพัสดุ แล้วให้ไรเดอร์เอาของไป มูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ก่อเหตุ 3 พื้นที่ สน.ท่าข้าม – สน.บางขุนเทียน – สน.หลักสอง
เมื่อเวลา 10:00 น.วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 903 ถนน พระราม 2 ซอย 43 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 พร้อมด้วย, พ.ต.อ.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.สุธี พรมมาลี รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.ธีรชัย เด็ดขาด รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.ศุภวัช ปานแดง รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.อชิรวิทย์ ทองฉันดี รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.กิตติพงศ์ พันธ์ศรี รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.ชัยพันธุ์ เพ็ชรสดศิลป์ รอง ผบก.น.9, พ.ต.อ.เลิศศักดิ์ เขียมทรัพย์ ผกก.สน.ท่าข้าม และ กก.สส.บก.น.9 ร่วมแถลงผลการจับกุม แก๊งค์หลอกซื้อของและให้ส่งสินค้าผ่านพัสดุ แล้วให้ไรเดอร์มาเอาของคืนจากจุดส่งของ สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น, พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น, พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง รอง ผบช.น., กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 โดย พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งรัดสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิด ด้วยการสวมรอยใช้กลอุบายลักทรัพย์ของผู้เสียหายจากบริษัทขนส่งเอกชน
โดย เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2567 เวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ร่วมกับ สน.ท่าข้าม, สน.บางขุนเทียน และ สน.หลักสอง ได้ร่วมกันทำการจับกุม นายนพรัตน์ (สงวนนามสกุล ) อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 145 ม.7 ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จว.ชัยภูมิ ผู้ต้องหาตามหมายจับ
[ 1 ] หมายจับของศาลอาญาธนบุรีที่ 387/2567 ลง 13 พ.ค.2567 (สน.หลักสอง)
[ 2 ] หมายจับของศาลอาญาธนบุรีที่ 388/2567 ลง 13 พ.ค.2567 (สน.บางขุนเทียน)
[ 3 ] หมายจับของศาลอาญาธนบุรีที่ 389/2567 ลง 13 พ.ค.2567 (สน.ท่าข้าม)
ในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือ รับของโจร”
☆ สถานที่จับกุม สน.ท่าข้าม แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์การแห่งคดี ได้มีแก๊งค์สั่งซื้อสินค้าประเภท นาฬิกาโรเล็กซ์ และเครื่องประดับเพชร ที่มีราคาแพง และเป็นที่นิยมในท้องตลาด โดยแก๊งค์จะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยเริ่มจากการหาเหยื่อที่ทำการโพสต์ขายสินค้าทางช่องทาง Facebook ที่สามารถส่งสินค้าทางพัสดุได้ เมื่อได้เหยื่อแล้วจะทำการติดต่อผ่านทางช่องทางการสื่อสาร เช่น ระบบ Facebook, Line และโทรศัพท์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เสียหาย โดยจะยื่นเสนอราคาให้สูง เพื่อหลอกล่อใช้กลอุบายให้ผู้เสียหายทำการส่งสิ่งของดังกล่าวมาให้ แล้วจะทำการโอนเงินให้ หลังจากได้รับสลิปการส่งสินค้าจากผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายทำการส่งของให้ พร้อมถ่ายสลิปการส่งของแล้ว จึงทำการพูดคุยชักชวนให้ผู้เสียหายออกมาจากบริษัทฯ ที่ไปส่งสินค้า โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดข้อสงสัย และระหว่างนั้น กลุ่มผู้ต้องหาจะทำการว่าจ้างผู้รับจ้าง
ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านทางระบบออนไลน์ หรือ ไรเดอร์ เช่น Bolt, grab ให้เข้ามาที่บริษัทส่งของ เพื่อจะมาพัสดุดังกล่าว โดยให้ไรเดอร์ดังกล่าว แจ้งว่ามีการยกเลิกและผู้เสียหาย (เจ้าของ) ให้มารับพัสดุคืน ครั้นเมื่อบริษัทรับส่งสินค้าหลงเชื่อ ก็จะทำการส่งของให้กับไรเดอร์ แล้วผู้เสียหายจะทำการติดต่อกับแก๊งค์ดังกล่าวไม่ได้อีก และเมื่อไปติดต่อขอรับสิ่งของที่ทำการส่ง พนักงานจึงแจ้งว่า มีไรเดอร์มารับสิ่งของไปแล้ว ซึ่งเมื่อไรเดอร์ดังกล่าวรับสิ่งของไปแล้ว จะนำสิ่งของไปทำการส่งให้กับนายนพรัตน์ฯ ผู้ต้องหา แล้วนายนพรัตน์ฯ จะนำไปขายตามร้านที่รับซื้อ แล้วจะนำเงินที่ได้ไปทำการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของแก๊งค์ที่แจ้งมาไป จำนวน 3 ราย โดยมีดังนี้
[ 1 ] พื้นที่ สน.บางขุนเทียน เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 ทำการหลอกลวงผู้เสียหาย ได้ทรัพย์สินเป็นเพชร จำนวน 2 เม็ด มูลค่าราคาประมาณ 1,430.000 บาท โดยนายนพรัตน์ฯ ผู้ต้องหา นำไปขาย ได้เงินจำนวน 1,200,000 บาท และหักไว้เป็นส่วนแบ่งตัวเอง เป็นเงิน 5,000 บาท แล้วจึงโอนที่เหลือให้กับแก๊งค์
[ 2 ] พื้นที่ สน.ท่าข้าม เมื่อวันที่ 28 เม.ย.67 ทำการหลอกลวงผู้เสียหาย ได้ทรัพย์สินเป็นนาฬิกาโรเล็กซ์ ราคาประมาณ 435.000 บาท โดยนายนพรัตน์ฯ ผู้ต้องหา ได้นำไปขาย ได้เงินจำนวน 250,000 บาท และหักไว้เป็นส่วนแบ่งตัวเองเป็นเงิน 20,000 บาท แล้วจึงโอนเงินที่เหลือให้กับแก๊งค์
[ 3 ] พื้นที่ สน.หลักสอง เมื่อวันที่ 1 พ.ค.67 ทำหลอกลวงผู้เสียหาย ได้ทรัพย์สินเป็นนาฬิกาโรเล็กซ์ ราคาประมาณ 375.000 บาท โดยนายนพรัตน์ฯ ผู้ต้องหา ได้นำไปขาย ได้เงินจำนวน 305,000 บาท และหักไว้เป็นส่วนแบ่งตัวเองเป็นเงิน 9,000 บาท แล้วจึงโอนเงินที่เหลือให้กับแก๊งค์
รวมราคาทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายเป็นเงิน ประมาณ 2,240,000 บาท
สำหรับทรัพย์สินที่นายนพรัตน์ๆ นำไปขายนั้น เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่า สถานที่ที่ทำการรับซื้อทรัพย์สินดังกล่าว ได้รับอนุญาตให้มีการรับซื้อของเก่า และเสนอราคาในการรับซื้อตามสมควร รวมถึงได้มีการลงข้อมูลบุคคลที่นำมาขายไว้ครบถ้วน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกระบวนการในการรับซื้อของเก่า ผู้รับซื้อจึงไม่มีความผิดในข้อหา “รับของโจร”
กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังในการซื้อขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่จะต้องมีการส่งสินค้าผ่านทางบริษัทรับส่งพัสดุ ให้ทำการ พร้อมเฝ้าติดตามพัสดุที่จะทำการส่งของจนกว่าจะได้รับเงินจากผู้สั่งซื้อทุกครั้ง และขอความร่วมมือสถานประกอบการรับส่งพัสดุทุกแห่ง ให้ทำการลงทะเบียนผู้ทำการจัดส่งพัสดุทุกครั้ง และหากมีการขอรับพัสดุคืน ขอให้ทำการยืนยันตัวตนของผู้รับให้ชัดเจน พร้อมทำการติดต่อผู้เป็นเจ้าของพัสดุตามระบบ เพื่อให้ยืนยันการยกเลิก และขอรับคืนว่าเป็นบุคคลเดียวกัน อันเป็นการปิดช่องว่างไม่ให้แก๊งค์ฉวยโอกาสในการนำพาทรัพย์นั้นจาก
ผู้เสียหายได้อีกต่อไป
# กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ขอประชาสัมพันธ์ฝากเตือนประชาชน
1. พนักงานรับจ้างขนส่งสินค้าและ พัสดุ การที่รับงานโดยไม่ผ่านศูนย์หรือผู้ให้บริการ ไม่มีบันทึกรับงานเป็นหลักฐาน โดยได้รับค่าจ้างเกินสมควร อาจเข้าข่ายร่วมสมรู้ร่วมคิดในการกระทำความผิด ร่วมกันลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) ต้องระวางโทษจำคุกหนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นถึงหนึ่งแสนบาท
2. เจ้าของหรือผู้ดำเนินการ สถานประกอบการขนส่งสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์ เช่น เคอรี่ แฟลช เจแอนด์ที เป็นตัน เมื่อรับมอบสินด้าหรือพัสดุภัณฑ์จากผู้ส่งหรือผู้ฝาก ให้บันทึก ชื่อ สกุล เลขประจำตัวบัตรประชาชนหรือเลขหนังสือเดินทางของผู้ส่งหรือผู้ฝากนั้น ร่วมทั้งบันทึกรายละเอียดของผู้รับหรือผู้รับแทน
สิ่งของสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์ในทำนองเดียวกัน โดยให้ขัดเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน ไม่น้อยกว่า 180 วัน และกรณีพบหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนในสินค้าหรือพัสดุ ให้แจ้งเหตุโดยเร็ว หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกสิ่งปิดสถานประกอบการชั่วคราว หรือถูกสั่งพักใบอนุญาตประกอบกิจการ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2558) และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2558)
3. ผู้ประกอบกิจการค้าของเก่า จะต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน (กทม.คือ อธิบดีกรมการ
ปกครอง) หากประกอบกิจการโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการขาย
ทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2474 มาตรา 4, 12 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ค้าของเก่าต้องแสดงใบอนุญาตให้เห็นได้ชัดแจ้ง ต้องมีสมุดบัญชีและจดรายการไว้ทุกราย ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์ที่มีผู้มาเสนอขายให้ตนนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยทางทุจริต หากไม่แจ้งมีความผิด ตามมาตรา 12 ตรี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาทหากรับซื้อทรัพย์สินอันได้มาโดยการกระทำผิดโดยเจตนาไม่สุจริตมีความผิดฐานรับของโจร
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้ากระทำเพื่อค้าหากำไร ต้องระวางโทษจำคุกหกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึง
สองแสนบาท