ทล.5.กก.1 บก.ทล. (เพชรบูรณ์) จับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง
เมื่อเวลา 17:10 น.วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2567 ณ บริเวณถนน กม.87 ทล.117 ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายสายลับ (ขอปิดนามและขอรับเงินรางวัลในการแจ้งจับในครั้งนี้) ได้แจ้งว่าจะมีรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลขนแรงงานต่างด้าว โดยเดินทางมาจากอำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก มุ่งหน้าออกสู่จังหวัดนครสวรรค์ โดยใช้เส้นทาง ทางหลวงหมายเลข 117 ผ่านเขตจังหวัดพิจิตร เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ออกตรวจสอบเส้นทางดังกล่าวตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับ ขณะเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุบกุมปฏิบัติหน้าที่มาถึงบริเวณทางหลวงหมายเลข 117 กิโลเมตรที่ 87 ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร ได้พบรถต้องสงสัยเป็นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU สืบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน
1ฒต-2183 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถคันเดียวกันกับที่ได้รับแจ้งจากสายลับ ขับผ่านมา และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเห็นดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวและได้ให้สัญญาณไฟวับวาบกระพริบสีแดง และใช้สัญญาณเสียงไซเรนส์ รวมถึงการพูดออกคำสั่งผ่านไมโครโฟนเรียกให้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลคันดังกล่าวให้หยุด เมื่อรถคันดังกล่าวหยุด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อขอทำการตรวจสอบทราบชื่อผู้ขับขี่คือ นายชัยณรงค์ฤทธิ์ฯ อายุ 27 ปี อยู่หมู่ที่ 7 ตำบลรวมไทยพัฒนา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก โดยมีชาวต่างด้าวจำนวน 10 คน นั่งโดยสารมากับรถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญผู้ถูกจับและนำรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลคันดังกล่าวมาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้งที่ ที่หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวงพิจิตร ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร ผู้ถูกจับที่ 1 พบว่าผู้ถูกจับที่ 2 – 11 เป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาร์ ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใดแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้สอบถามผู้ถูกจับที่ 1 ให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากนายหน้า (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) คนละ 700 บาท ต่อแรงงานต่างด้าว 1คน ให้ไปรับแรงงานต่างด้าวจำนวน 10 คน ที่บริเวณอำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก โดยปลายทางจะให้ไปส่งที่จังหวัดนครสวรรค์ ผู้ถูกจับที่ 1 ยอมรับว่าตนเอง ได้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลคันดังกล่าวบรรทุกแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองมาจริง และตนรู้ดีอยู่แล้วว่าแรงงานต่างด้าวดังกล่าวไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใด และยินยอมที่จะนำพามาส่งที่ปลายทาง (จังหวัดนครสวรรค์) โดยกระทำการแบบนี้กระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบและจับกุม จากนั้นได้สอบถามผู้ถูกจับผ่านล่ามแปลภาษา เมียนมาร์ ให้การยอมรับว่า ตนเองพร้อมพวก จำนวน 10 คน ได้ลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ และได้เดินทางเข้ามาทำงานในจังหวัดชลบุรี โดยขาเข้ามีค่าใช้จ่ายคนละ 25,000 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา ผู้ถูกจับที่ 1″ รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวจำนวน 10 คนนั้น พ้นจากการจับกุม เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไม่ได้รับอนุญาต” จึงได้ควบคุมตัวผู้ถูกจับพร้อมของกลางและบันทึกการจับกุม นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรวชิรบารมี ภ.จว.พิจิตร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้สนับสนุน
คุณ ศุภผล จริงจิตร
ผอ.ภ.6 นิตยสารตำรวจเพื่อมวลชน รายงาน